วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

การคำนวณค่าความชันถนน(เปอร์เซ็น)

สำหรับผู้ที่ชอบขึ้นเขา
โดยเฉพาะขึ้นเขาด้วยการปั่นจักรยานแล้ว
คงต้องเคยได้ยินคำว่า "ความชัน"

ความชันที่ว่านี้ตามการเรียกแบบเป็นสากลแล้วมันจะเรียกเป็น "เปอร์เซ็น" หรือเปอร์เซ็นความชัน
ร้อยละความชัน เช่น ทางเส้นนี้มีความชันสูงสุด 8%

มาดูกันครับ
นิยามของ "ความชัน"     ในทางคณิตศาสตร์ ความชัน (slope หรือ gradient) ของเส้นตรงบอกถึงความสูงชัน ความลาดเอียง หรือ ระดับ ค่าความชันยิ่งมากแสดงถึงความสูงชัน ความลาดเอียงที่มากขึ้น
    สรุปเป็นสมการพื้นฐานคือ

m=\frac{y_2-y_1}{x_2-x_1}       
เมื่อ m คือ ความชัน       
ด้วยวิธีแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์สามารถคำนวณความชันของเส้นสัมผัสจนถึงเส้นโค้งที่จุดๆหนึ่งได้แนวคิดเรื่องความชันสามารถประยุกต์ในระดับหรือความชันในภูมิศาสตร์และวิศวกรรมโยธา ด้วยวิธีตรีโกณมิติ ระดับ m ของถนนที่งมุมลาดเอียง θ
m = \tan \theta\!
ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.mathopenref.com/coordslope.html

หลักการ

ความชัน คือ การเที่ยบ อัตราส่วน ของความยาว(X) ต่อความสูง(Y)ของถนน(สีเหลือง)ครับ

วิธีคิดหาความชันเป็น องศา สามารถได้จาก 

ในทำนองเดียวกันวิธีคิดหาความชันเป็น เปอร์เซ็น สามารถได้จาก

เช่น ที่ถนนยาว (X) 10 เมตร ถนนมีความสูง (Y)  2 เมตร
ดังนั้น ถนนนี้มีความชัน

จากสูตร
แทนค่า X = 10 , Y = 2

    

                              =  11.309 องศา

หรือ 
                       = (2/10)x100%
              
              = 20 เปอร์เซ็น

เอาละครับวางวิชาการเอาไว้แล้ว เอาความรู้นั้นงัดออกมาใช้กันครั

       วิธีคิดแบบง่าย ๆ ใช้เครื่องมือช่วยเพื่อไม่ให้ปวดหัว
แต่มีเงื่อนไขคือ เครื่องคำนวณเราต้องสามารถกดฟังก์ชัน tan หรือ arctan (tan^-1)

หากเราเจอป้าย บอกความชันเป็น เปอร์เซ็น เราสงสัยว่ามันกี่องศากัน?
ยิบเครื่องคำนวณมาแล้วกดเลย
สูตรคำนวนง่ายๆคือ 




 หรือดูตามตารางนี้เลยครับ

กราฟเปรียบเทียบความชัน องศา และ เปอร์เซ็น






















เป็นไงบ้างครับ พอเข้าใจกันบ้างไหม 
หากผิดพลาดประการไดขออภัยวัย ณ ที่นี้ด้วยครับ
และยินดีน้อมรับคำติชมครับ



วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

จักรยาน อิสระ การเดินทาง

     หากพูดถึงความประทับใจกับจักรยานแล้ว หลายคนคงนึกถึงวัยเด็ก 
ผมก็คนหนึ่งละครับ

แวะไปดูเล่นได้ครับ ^^
https://www.youtube.com/user/ruttapolnueng


          เริ่มต้นเมื่อครั้งที่ตอนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย วันแรก(สีปีมาแล้ว) ตอนปีหนึ่งผมเองก็ตั้งใจจะใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง ปั่นไปเรียน ปั่นเที่ยวปั่น ออกกำลังกาย

จักรยานคันแรก(สำหรับการเข้ามหาวิทยาลัย) ค้นหาแนวของตัวเองอยู่นาน


              ในระหว่างที่ เรียนอยู่ผมได้คนหาแนวการปั่นของตัวเองอยู่นาน ด้วยงบที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ทำให้ต้องใช้รถคันเดิมปรับแต่งเป็นแบบต่าง ๆ เช่น เดิมที่เป็นจักรยานเสือภูเขาก็ได้ปรับแต่งให้เป็นจักรยานไฮบริด (ศึกษาด้วยตัวเองครับ) โดยเปลี่ยนจากยางใหญ่ ๆ ของเสือภูเขาเป็นยางที่เล็กลง เพื่อให้ ปั่นในทางเรียบได้สบายขึ้น (ออกแรงน้อยไปได้เร็วขึ้น) และลองใส่แฮนแบบจักรยานเสือหมอบ

จักรยานคันแรกได้ผ่านการปรับแต่งนั้นโน้นนี้ จนออกมาเป็นตามภาพ 


             เมื่อทดสอบอยู่พักใหญ่ๆ ใช้ปั่นทุกแบบตามปกติ(ปกติของผมนะครับ) แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่ค่อยชอบเพราะยางที่เล็กทำให้ความรู้สึกแข็งกระด้าง สะเทือนมาก ด้วยส่วนตัวชอบนุ่มๆ แต่ยังคงต้องการการปั่นแบบทางเรียบให้สบาย เลยหาโช๊คหน้ามาใส่   แน่นอนเมื่อผมเริ่มจริงจังกับจักรยาน ผมก็เริ่มเก็บเงินเพื่ออัพเกรดจักรยานคันโปรด ของผม อุปกรณ์ชิ้นแรก คือโช๊คหน้า

ภาพ หลังจากการอัพโช๊คหน้า ในขณะที่ยังใส่แฮนหมอบอยู่ เก๋ไก๋ซะไม่มี  ฮ่าๆๆๆ

         หลังจากคนพบว่าชอบแนวการปั่นแบบ ลุยๆ เสือภูเขา  ผมเองเลยเปลี่ยนกลับมาใช้ยางใหญ่เหมือนเดิม และเปลี่ยนมาใช้แฮนตรงแบบเสือภูเขาทั่วไปเพื่อความคล่องตัว และศึกษาเรียนรู้อยู่กับจักรยานมาเลื่อยๆ พร้อมๆกับการเรียนในมหาวิทยาลัย

หลังจากเปลี่ยนมาใช้ โช๊ค และยางใหญ่ ขนาด 26x2.00 นิ้ว

         แล้วอย่างที่บอก เมือได้เริ่มต้นก็ต้องมีครั้งต่อไป ด้วยความอยู่รู้อยากลองอะไหร่ที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจึงเริ่มศึกษา เพื่ออัพเกรดชุดขับเคลื่อน


       ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวต่อไป ขอบอกก่อนว่า การปั่นจักรยานทำให้ผมได้พบกับสังคมที่มีมิตรภาพดีๆให้กันตลอด พบเจอผู้คนใหม่ๆ ต่างวัย ต่างอาชีพ ต่างความคิด แต่มีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกันคือ ปั่นแล้วมีความสุข


           แน่นอนความความตั้งใจตั้งแต่แรกของผมในการใช้จักรยานคือ ใช้ปั่นไปเรียน ปั่นออกกำลังการ และสิ่งที่ผมรอค่อยและหาโอกาสคือปั่นท่องเที่ยว ออกทริป ไปในที่ต่างๆ ผมเองชอบการเดินทางด้วยจักรยานมากๆ และเคยปั่นไปเที่ยวที่ต่างๆ มาพอสมควรในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างทริปเด่นๆ ที่ผมไปปั่นมาให้ดูกันครับ


             ทริปเกินร้อยทริปแรก อันที่จริงผมเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นะครับว่าปั่นทะลุ 100km ครั้งแรกตอนไหนเป็นสำหรับผมแล้วการปั่นจักรยานทางไกลเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว แต่ทีแน่ๆทริปเกินร้อยและปั่นกลับบ้านครั้งแรกของผมคือทริปนี้ครับ



         ทริปนี้เป็นการเดินทางกลับบ้านครั้งแรกของผมด้วยจักรยานเลยก็ว่าได้ เส้นทางที่ผมใช้คือ ปั่นจาก มมส.(ม.ใหม่) มุ่งหน้าเข้าเมืองสารคาม ถึงวงเวียน หอนาฬิกาจังหวัดเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.ฆ้องชัยไปตามทาง จนถึงสะพานขามชีต่อเขตมหาสารคาม กับ กาฬสินธุ์ และปั่นไปตามถนนเส้นยางตลาด ผ่าน อ.โพนทอง อ.หนองพอก ถึง อ.เลิงนกทาเลี้ยวขวามุมสู้บ้าน ด้วยถนนหมายเลข 212 บอกเลยครับไม่ง่ายเลยกับระยะทางเท่านี้แต่มันก็สอนให้ผมได้มีประสบการณ์หลายอย่าง (ชมภาพการเดินทางกดลิงค์ใต้ภาพเลยครับ)


       และนั้นละครับ อย่างที่บอกการปั่นจักรยานท่องเที่ยวเดินทางไกล สำหรับผมนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา
และอีกทริปประทับใจทริปสุดมัน สองเสือบ้าบิ่น  ฮ่าๆๆๆ 






   





บริเวณสรรเขื่นลำปาว













ทางเขาอุทยานโลกไดโนเสาร์




ทริปนี้เมื่อ ต้นปี 2012  (ดูภาพเพิ่มเติม)



ทริปที่มีชื่อว่า  ทริปเล็กๆ   แต่จริงๆสำหรับผมมันก็ไม่เล็กนะครับ


เมื่อเดือนมีนาคม 2012


              อย่างที่เห็นครับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทริปนี้ก็ถือเป็นทริปที่ใกล้ที่สุดที่ผมเดินทางด้วยจักรยานอบ่างเดียว(ขากลับนั้งรถไฟกลับ) โดยใช้เวลาทั้งหมดของทริปไปกลับ 5 วัน 4 คืน โดย 3 วันแรกปั่นไปแบชิลล์มากๆ 1 วันที่เขาใหญ่ 1 วันกลับถึง มมส.  รายละเอี่ยดเรื่องราวมีเยอะมาก ผมเล่าเรื่องไม่เก่ง ไปดูภาพกันได้เลยนะครับ (ชมภาพทั้งหมด ทริปเล็ก 1 , 2 , 3)

วันแรกตั้งแต่เริ่มเดินทาง

คืนแรก  ร้อนมากกกกกกกก

วันที่สองของการเดินทาง



วันที่สองของการเดินทาง อากาศร้อนมาก แวะนอนกลางวัน


ร้อยกิโลเมตรแรก ของวันที่สอง

วันที่สอง เพราะอากาศร้อนเลยต้องปั่นตอนกลางคืน


คืนที่สอง ณ ป้อมตำรวจและโรงเรียนแห่งหนึ่ง

ถึงเขาใหญ่ ในวันที่สาม


การเดินทางของผมยังไม่สิ้นสุดและยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ 
หลังจากทริปนี้เป็นเหมือนกรณีศึกษาให้กับผมเมื่อออกเดินทางเป็นประสบการครั้งยิ่งใหญ่ที่ส่งผลให้เกิดทริปอื่นๆตามมาอีกมากมาย

สิ่งที่ผมคิดและทำนั้นผมอาจบอกไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีไหม แต่สิ่งที่ผมได้ทำนั้นมันได้สร้างและเติมเต็มหลายๆอย่างในชีวิตผม

สุดท้ายนี้ผมอยากฝากคำคมยาวๆ ที่ผมจำเค้ามาอีกที และผมคิดว่าอาจจะช่วยให้ใคร ๆ หลาย ๆ คนได้คิดที่จะกล้าออกเดินทางด้วยแรงของตัวเอง 
"มันอาจไม่ใช่ประโยคที่เปลี่ยนผมเพราะเป็นประโยคที่ผมเป็น"(อันนี้คิดเองครับ)

 วัยเด็ก      มีแรง   มีเวลา  "ไม่มีเงิน"
    วัยทำงาน    มีเงิน   มีแรง   "ไม่มีเวลา"
 วัยชรา      มีเวลา  มีเงิน   "ไม่มีแรง"





ขอบคุญทุกๆ ท่านที่อ่านครับ